รู้จัก สิวหัวช้าง คืออะไร? ป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ
บริการที่คุณอาจสนใจ

สิวหัวช้าง หรือ Nodulocystic Acne เป็นสิวอักเสบที่หลายคนกังวลมากที่สุด เพราะต่างจากสิวทั่วไปทั้งขนาดและความรุนแรง สิวชนิดนี้มักเป็นก้อนนูนแดงใหญ่ เจ็บปวด และหายช้า ที่สำคัญคือทิ้งรอยแผลเป็นและหลุมสิวไว้ได้ง่าย หลายคนจึงสงสัยว่าแท้จริงแล้วสิวหัวช้างคืออะไร เกิดจากสาเหตุใด และจะมีวิธีป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำได้อย่างไร
บทความนี้ oblivyoung จะพาไปรู้จักสิวหัวช้างตั้งแต่สาเหตุ การรักษาที่ถูกต้อง ไปจนถึงวิธีดูแลผิวเพื่อลดความเสี่ยงในการกลับมาเป็นซ้ำ พร้อมตอบคำถามยอดฮิตที่หลายคนค้นหาบนอินเทอร์เน็ต เพื่อให้คุณเข้าใจปัญหานี้อย่างรอบด้านและจัดการได้อย่างมั่นใจ
สิวหัวช้าง คืออะไร?

สิวหัวช้าง (Nodulocystic Acne) จัดเป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่สุดประเภทหนึ่ง ลักษณะคือก้อนนูนแดง (Nodule) หรือก้อนสิวอักเสบที่มีหนองสะสมลึกใต้ผิว (Cyst) ทำให้เกิดอาการเจ็บ บวม และปวดมากกว่าสิวทั่วไป เช่น สิวหัวหนอง (Pustule) หรือสิวอุดตัน (Comedone)
ความน่ากังวลคือสิวชนิดนี้อักเสบลึกถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา จะมีโอกาสสูงที่จะทิ้ง รอยแผลเป็น (Scar) หรือ หลุมสิว (Atrophic Scar) ซึ่งรักษายากและส่งผลต่อความมั่นใจในระยะยาว
สิวหัวช้างต่างจากสิวแบบอื่นอย่างไร
หลายคนอาจสับสนว่าสิวหัวช้างแตกต่างจากสิวอักเสบทั่วไปอย่างไร ความจริงคือสิวชนิดนี้มีความรุนแรงและลึกกว่ามาก
- สิวหัวช้าง (Nodulocystic Acne): ก้อนใหญ่ เจ็บมาก อักเสบลึกและมีหนองใต้ผิว เสี่ยงทิ้งรอยถาวร
- สิวหัวหนอง (Pustule): สิวอักเสบมีหัวหนองสีขาวหรือเหลือง มักตื้นและหายได้เร็วกว่า
- สิวหัวขาว / หัวดำ (Whiteheads / Blackheads): สิวอุดตันที่ยังไม่อักเสบ มักเป็นเม็ดเล็ก ไม่เจ็บ
- สิวเป็นไต (Nodular Acne): ก้อนแข็งใตผิว แต่ไม่อักเสบจนมีหนอง
เมื่อเปรียบเทียบกันจะเห็นว่าสิวหัวช้างรุนแรงกว่าและต้องได้รับการดูแลอย่างจริงจัง
สาเหตุของสิวหัวช้าง

สิวหัวช้างไม่ได้เกิดจากการล้างหน้าไม่สะอาดเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลรวมของหลายปัจจัย
พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน: การนอนดึก เครียด ใช้เครื่องสำอางที่อุดตันผิว สัมผัสหน้าบ่อย ๆ หรือดื่มน้ำน้อย ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อสิวหัวช้าง
ปัจจัยทางการแพทย์: เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนและการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมัน (Sebum) ที่มากเกินไป เมื่อมีเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (P. acnes) เจริญเติบโต ร่างกายจะตอบสนองด้วยการอักเสบจนเกิดเป็นก้อนสิวขนาดใหญ่
ฮอร์โมน: ฮอร์โมนแอนโดรเจนกระตุ้นให้ผิวมันมากขึ้น มักพบในวัยรุ่นหรือผู้ที่ฮอร์โมนไม่สมดุล
วิธีรักษาสิวหัวช้าง
เนื่องจากสิวหัวช้างเป็นสิวรุนแรง การรักษาด้วยวิธีทั่วไปมักไม่เพียงพอ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อประเมินและรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่ง สิวหัวช้างมักหายช้ากว่าสิวทั่วไป หากรักษาเร็วอาจใช้เวลา 1–2 สัปดาห์ ในการยุบลง แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้หรืออักเสบรุนแรง อาจใช้เวลาเป็น เดือน และทิ้งรอยแผลเป็นถาวร การเข้ารับการรักษากับแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงช่วยลดเวลาและผลกระทบต่อผิวได้มาก
- การใช้ยา:
ยาทากลุ่ม Retinoids, Benzoyl Peroxide, Salicylic Acid ใช้เพื่อลดการอักเสบและการอุดตัน ในรายที่รุนแรงแพทย์อาจสั่ง ยาปฏิชีวนะ หรือ Isotretinoin ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงแต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด - หัตถการทางการแพทย์:
- การฉีดสิว (Intralesional corticosteroid injection): ช่วยให้สิวยุบเร็วและลดการอักเสบ
- เลเซอร์และแสงบำบัด (CO₂ Laser, Light Therapy): ลดการอักเสบ ฟื้นฟูผิว และช่วยลดรอยแดง
- การกรีดเอาหนองออก: ใช้ในบางกรณีที่สิวมีหนองมาก แต่ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น
สำคัญ: ไม่ควรบีบหรือกดสิวหัวช้างด้วยตนเอง เพราะจะทำให้เชื้อลุกลามและเสี่ยงเกิดรอยถาวร
วิธีป้องกันสิวหัวช้างไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

สิวหัวช้างอาจกลับมาได้ หากไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลผิว การป้องกันควรทำอย่างต่อเนื่อง
- ล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2 ครั้งด้วยผลิตภัณฑ์อ่อนโยน
- ใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางที่ไม่อุดตันรูขุมขน (Non-comedogenic)
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำเพื่อลดการกระตุ้นการผลิตน้ำมัน
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำวันละ 1.5–2 ลิตร และลดความเครียด
การปรับพฤติกรรมเหล่านี้ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นและลดโอกาสเกิดสิวซ้ำซากได้จริง
สิวหัวช้างเป็นสิวอักเสบรุนแรงที่เจ็บปวดและเสี่ยงทิ้งรอยแผลเป็น หากไม่ดูแลอย่างถูกต้อง อาจทำให้ปัญหายืดเยื้อและเสียความมั่นใจ การรักษาที่ดีที่สุดคือการพบแพทย์เพื่อรับการดูแลที่เหมาะสม ร่วมกับการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น รักษาความสะอาดผิว ใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม และพักผ่อนเพียงพอ การรู้จักและป้องกันตั้งแต่ต้นคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดการเกิดซ้ำและทำให้ผิวแข็งแรงอย่างยั่งยืน